หมื่นถ้อย

มัทนะพาธา: ตำนานรักดอกกุหลาบ

โอ้โอ๋กระไรเลย  บมิเคยณก่อนกาล!พอเห็นก็ทราบส้าน ฤดิรักบหักหาย.ยิ่งยลวะนิดา ละก็ยิ่งจะร้อนคล้ายเพลิงรุมประชุมภาย ณ อุราบลาลด. นางมัทนาเดิมเป็นเทพธิดาอยู่บนสรวงสวรรค์ นางมีความงามเหนือเทพธิดาใด ๆ ซึ่งความงามของนางได้ไปต้องตาเทพบุตรหลายองค์ รวมไปถึงเทพบุตรสุเทษณ์ที่หลงรักนางจนหมดหัวใจ แต่นางกลับปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่านางไม่ได้มีใจให้ เทพบุตรสุเทษณ์จึงโกรธมาก และได้สาปให้นางเกิดมาเป็นดอกกุหลาบบนโลกมนุษย์ แต่ให้ข้อยกเว้นว่า ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง มัทนาจะสามารถกลับคืนร่างเป็นหญิงสาวได้ตามปกติ และถ้าหากนางได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว ก็ไม่ต้องกลายร่างเป็นดอกกุหลาบอีก ด้านฤาษีกาละทรรศินก็ได้รับรู้การมาเกิดของมัทนาด้วยญาณทิพย์ จึงสั่งให้ลูกศิษย์ไปขุดต้นกุหลาบในป่ามาปลูกไว้ใกล้ ๆ กับอาศรม เมื่อถึงคืนพระจันทร์เต็มดวง นางมัทนาก็ได้มารับใช้ฤาษี เพื่อทดแทนบุณคุณที่คอยช่วยเหลือดูแล ณ ค่ำคืนหนึ่งพระชัยเสนได้เดินทางมาขอค้างแรมที่อาศรม และได้พบกับนางมัทนาโดยบังเอิญ พระชัยเสนถึงกับตกตะลึงในความงาม และตกหลุมหลงรักนางในทันที ซึ่งมัทนาเองก็มีใจปฏิพัทธ์เช่นกัน หลังจากนั้นพระชัยเสนก็ไปขอนางมัทนาจากท่านพระฤาษี และได้พามัทนากลับเมือง มีการจัดพิธีอภิเษกสมรสอย่างยิ่งใหญ่ แต่เนื่องด้วยพระชัยเสนได้มีพระนางจัณฑีเป็นมเหสีเอกอยู่ก่อนหน้าแล้ว พระนางไม่พอใจในตัวมัทนาเป็นอย่างมาก จึงวางแผนกับนางกำนัลคนสนิทจ้างหมอไสยศาสตร์มากลั่นแกล้ง แล้วให้ทูลการเท็จว่านางมัทนาเป็นผู้จ้างวานในการทำเสน่ห์ ทุกอย่างถูกดำเนินไปตามแผนการอันชั่วร้าย พระชัยเสนหลงเชื่อจึงสั่งประหารนางในทันที มัทนาจึงได้แต่โศกเศร้าเสียใจอย่างแสนสาหัส รู้สึกน้อยใจในโชคชะตาอันอาภัพของตน แต่เคราะห์ยังดีที่เพชฌฆาตรู้ว่านางไม่ผิด จึงได้ปล่อยนางไป มัทนาจึงกลับเข้าป่าไปอาศัยกับท่านพระฤาษีตามเดิม ต่อมาเมื่อพระชัยเสนรู้ความจริงทั้งหมด ก็สั่งเนรเทศพระนางจัณฑีและคนรับใช้ และได้รีบออกตามหานางมัทนาเมื่อรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ ฝ่ายมัทนาเองก็ซูบผอม หน้าตาหมองเศร้า สุดท้ายจึงได้ทำพิธีบวงสรวงเทพบุตรสุเทษณ์ ให้รับนางกลับขึ้นสวรรค์ แต่ตัวเทพบุตรมีข้อแม้ว่านางต้องยอมเป็นมเหสีของตน จึงจะรับนางกลับไป …

มัทนะพาธา: ตำนานรักดอกกุหลาบ Read More »

ตำนานเมืองศรีเทพ

เมื่อครั้งอดีตกาลที่บนภูเขาใกล้กับเมืองศรีเทพ มีฤาษีสองตนนามว่าฤาษีตาไฟและฤาษีตาวัว ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน โดยฤาษีตาไฟมีลูกศิษย์คนโปรดซึ่งเป็นท้าวพระยาผู้ครองนครศรีเทพ ท้าวพระยาได้ศึกษาศิลปะวิทยาแขนงต่างๆ จากฤาษีตาไฟจนแก่กล้า ในเช้าวันหนึ่งฤาษีตาไฟได้พาเจ้าผู้ครองนครไปดูบ่อน้ำวิเศษ 2 บ่อภายในถ้ำ บ่อแรกคือบ่อน้ำกรด ถ้าใครตกลงไปแล้วจะตายเหลือแต่ซากกระดูก ส่วนบ่อที่สองนั้นเป็นบ่อน้ำทิพย์ หากใครได้ลงไปชุบตัวก็จะมีผิวกายเป็นสีทอง ใช้ชุบชีวิตได้ เมื่อท้าวพระยาได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการกังขา ฤาษีตาไฟจึงอาสาทดลองให้ดู และได้กำชับว่าถ้าตนลงไปในบ่อแรกแล้ว ให้นำเอาซากกระดูกของตนไปชุบที่บ่อที่สอง จากนั้นฤาษีตาไฟก็ได้ลงไปในบ่อแรก ร่างกายก็มอดไหม้เหลือแต่โครงกระดูก เมื่อเจ้าผู้ครองนครได้เห็นดังนั้นก็เกิดอาการตกใจ อีกทั้งคิดคดว่าเมื่อสิ้นอาจารย์ไปแล้วตนย่อมกลายเป็นที่หนึ่งในแผ่นดิน ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ ไม่ต้องหวาดกลัวผู้ใดอีกต่อไป จึงได้หนีกลับเข้าเมืองไม่ทำตามที่ได้ถูกกำชับไว้ กาลต่อมา ฤาษีตาวัวรู้สึกผิดปกติที่ฤาษีตาไฟขาดการติดต่อ เกรงว่าอาจมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ฤาษีตาวัวจึงเหาะไปที่ถ้ำเคหาของฤาษีตาไฟ เมื่อไม่พบจึงออกค้นหา ณ สถานที่ต่าง ๆ กระทั่งสำรวจลึกลงไปถึงบริเวณบ่อน้ำด้านใน จึงได้เห็นซากกระดูกอยู่ตรงก้นบ่อน้ำกรด เมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบนำไปชุบที่บ่อน้ำทิพย์ เมื่อฤาษีตาไฟฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งจึงได้เล่าความจริงทั้งหมดให้ฤาษีตาวัวฟัง พร้อมทั้งรู้สึกเจ็บแค้นใจที่ลูกศิษย์อันเป็นที่รักของตนคิดทรยศ จึงได้วางอุบายเสกวัววิเศษตัวหนึ่งขึ้นมา โดยภายในบรรจุพิษร้ายกาจต่าง ๆ และได้ร่ายเวทมนตร์หมายให้เข้าไปอาละวาดในนครศรีเทพ แต่ไม่ก็สามารถเข้าไปได้เนื่องจากท้าวพระยาได้ร่ายคาถาปิดประตูเมืองเอาไว้ วัวอาคมจึงได้แต่วิ่งรอบ ๆ เมืองศรีเทพ พร้อมกับร้องเสียงดังโหยหวนอยู่ถึง 7 วัน 7 คืน จนกระทั่งเสียงได้เงียบสงบลง ท้าวพระยาหลงคิดว่าฤาษีตาไฟได้ยอมแพ้แล้ว จึงรับสั่งให้เปิดประตูเมืองตามปกติ เมื่อประตูเมืองถูกเปิดออก …

ตำนานเมืองศรีเทพ Read More »

ตำนานหนองหาน: ผาแดง-นางไอ่

ครั้งหนึ่ง ณ นครเอกชะทีตา มีพระยาขอมเป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบร่มเย็น พระองค์มีพระธิดานามว่า “นางไอ่คำ” ซึ่งเป็นที่รักและหวงแหนมาก พระองค์จึงสร้างปราสาท 7 ชั้นให้พระธิดาไอ่คำพร้อมทั้งมีเหล่านางสนมกำนัล ไว้คอยดูแลอย่างดี ในขณะที่เมืองผาโพงซึ่งมี “ท้าวผาแดง” เป็นกษัตริย์ปกครองอยู่ พระองค์ได้ยินกิตติศัพท์ความงามของนางไอ่คำจึงใคร่อยากจะเห็นหน้า จึงได้ปลอมตัวเป็นพ่อค้าไปยังนครเอกชะทีตา และติดสินบนนางในให้นำของขวัญลอบเข้าไปให้นางไอ่คำ เนื่องด้วยผลกรรมที่ผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อน ทั้งสองพระองค์จึงมีใจปฏิพัทธ์ผูกพันตั้งแต่แรกพบและได้อภิรมย์สมรักกัน ก่อนที่ท้าวผาแดงจะจากไปเพื่อจัดขบวนขันหมากมาสู่ขอ เมื่อเวลาผ่านไปถึงเดือน 6 ตามแต่ประเพณีโบราณของเมืองเอกชะทีตาที่จะต้องมีการทำบุญบั้งไฟบูชาพญาแถน พระยาขอมจึงได้ประกาศไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ว่างานบุญบั้งไฟในปีนี้จะเป็นการเฟ้นหาผู้ที่จะมาเป็นลูกเขยโดยการให้เจ้าชายแต่ละเมืองนำบั้งไฟมาจุดแข่งขันกัน ผู้ใดชนะก็จะได้อภิเษกสมรสกับพระธิดาของพระองค์ ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วสารทิศ มีการส่งบั้งไฟเข้ามาร่วมแข่งขันอย่างมากมาย อาทิเช่น เมืองฟ้าแดดสูงยาง เมืองเชียงเหียน และเมืองเชียงทอง เป็นต้น หรือแม้กระทั่ง “ท้าวพังคี” บุตรของ “ท้าวศรีสุทโธนาคราช” ผู้เป็นใหญ่แห่งเมืองบาดาล ก็ได้ปลอมตัวเป็นกระรอกเผือกมายลโฉมความงามของนางไอ่คำอีกด้วย เมื่อถึงวันแข่งขัน บั้งไฟของท้าวผาแดงจุดไม่ขึ้น พ่นแต่ควันดำอยู่ 3 วัน 3 คืนแล้วจึงระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ทำลายความหวังของท้าวผาแดงจนหมดสิ้น ในขณะเดียวกัน ท้าวพังคีก็ได้แปลงกายเป็นกระรอกเผือกพร้อมทั้งมีกระดิ่งผูกคอดูน่ารักใคร่ ไต่เต้นไปมาอยู่บนยอดไม้ข้างปราสาทของนางไอ่คำ เมื่อนางเห็นเข้าจึงคิดอยากได้มาเลี้ยงไว้แต่ก็ไม่สามารถจับได้ จึงบอกให้นายพรานยิงเอาตัวมาให้ได้ ในที่สุดกระรอกเผือกก็ถูกยิงด้วยลูกดอกจนตาย ก่อนตายท้าวพังคีได้อธิษฐานว่า “ขอให้เนื้อของข้าได้แปดพันเกวียน คนทั้งเมืองอย่าได้กินหมดเกลี้ยง” จากนั้นร่างของกระรอกเผือกก็ขยายใหญ่ขึ้น ผู้คนก็แตกตื่นมามุงดูกัน และทำการแล่เนื้อแบ่งกันไปทั่วเมืองด้วยคิดว่าเป็นอาหารทิพย์ ยกเว้นพวกแม่ม่ายที่ชาวเมืองรังเกียจ ไม่แบ่งเนื้อให้ พอท้าวศรีสุทโธนาคราชทราบข่าวจึงโกรธแค้นยิ่งนัก ดึกสงัดของคืนนั้นในขณะที่ชาวนครเอกชะทีตากำลังหลับไหลก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น …

ตำนานหนองหาน: ผาแดง-นางไอ่ Read More »

Scroll to Top